ความสำคัญของเสาเข็มเจาะกับงานก่อสร้าง

เสาเข็มเจาะขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 60 ซม. ปลายเข็มอยู่ที่ระดับ 9 เมตร (ต่ำจากผิวดิน) เพราะว่าสภาพดินตลอดความลึกที่เจาะเป็นดินแข็งมากสีน้ำตาล กดปลอกเหล็กกันดินได้ยาก ลงปลอกเหล็กกันดินได้เพียง 2 เมตร (เพราะกดไม่ลง) เมื่อทำการขุดเจาะดินไปได้ความลึกประมาณ 8-9 เมตร มีน้ำไหลเข้าในหลุมเจาะ และไหลแรงมากเพียงเวลาไม่นานน้ำไหลขึ้นมาถึงระดับที่ต่ำกว่าผิวดินเพียง 1.50 – 2.00 เมตร ตอนแรกสันนิษฐานว่าชั้นความลึก 8 – 9 เมตรนั้นอาจเป็นดินทราย ซึ่งถ้าเป็นดังนั้นดินที่ระดับนั้นต้องเกิดการพังทลายไม่เปลี่ยนแปลงแต่เมื่อนำกระเช้าเก็บดิน(Bucket)มาขุดเจาะดินต่อไปกับไม่พบดินทรายเลย ครั้นเมื่อพินิจจากผลการเจาะสำรวจดินในวันข้างหลังจึงพบว่าดินที่ระดับดังกล่าวข้างต้นเป็นดินที่มีความแข็งมากเกือบเป็นหินและมีร่องแตกมาก นั่นเป็นคำตอบว่าน้ำน่าจะไหลมาจากร่องที่แตกนี่เอง ปัญหาต่อเนื่องก็คือเมื่อปลายเสาเข็มเป็นดินที่มีน้ำไหลแม้จะลงปลอกเหล็ก (casing) ลงไปจนถึงดินชั้นนั้นก็ไม่สามารถกันน้ำได้เพราะน้ำจะยังคงไหลดันเข้าที่ปลายปลอกเหล็กตลอดเวลา เหตุดังนี้จึงต้องขุดเจาะดินใต้น้ำในสภาพเช่นเดียวกับการทำเสาเข็มเจาะขนาดใหญ่ และเมื่อขุดเจาะดินได้ระดับที่ต้องการแล้วก็ต้องเทคอนกรีตผ่าน Tremie pipe เช่นเดียวกัน เสาเข็มที่ทำด้วยกระบวนการขนาดนี้ก็ควรจะเรียกว่าเป็นเสาเข็มเจาะระบบเปียกด้วย

เสาเข็มเจาะอีกประเภทหนึ่งคือเสาเข็มเจาะระบบแห้ง เสาเข็มประเภทนี้มีขนาดเล็กกว่าและความลึกไม่มาก เส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่สุด 60 ซม. ความลึกไม่เกิน 29 ม. โดยทั่วไปที่พบเห็นจะกำหนดปลายเสาเข็มที่ระดับ 21 ม.หรือถึงชั้นทราย ซึ่งชั้นทรายที่ว่านี้ในกรุงเทพมหานครช่วงกลางๆเมืองเช่น สีลม รองเมือง เพลินจิต อุรุพงษ์ บางกะปิ พระโขนง ฯลฯ เป็นชั้นทรายปนดินเหนียวหรือทรายปนดินตะกอนสีเหลือง ( Clayey sand or silty sand) มีสภาพอ่อนเละๆ ใช้มือบีบให้เสียรูปได้ง่าย เป็นดินชุ่มน้ำสังเกตุได้จากความชุ่มแฉะของดิน และนั่นแสดงว่าดินชั้นนี้เป็นชั้นดินที่มีน้ำ หากขุดเจาะถึงดินชั้นนี้แล้วทิ้งไว้สักพักหนึ่งจะพบว่าเขตก้นหลุมเจาะมีน้ำ ชั้นทรายชั้นนี้จัดเป็นทรายชั้นแรกที่พบเจอ(First sand Layer) ลำดับชั้นความลึกอยู่ที่ประมาณ 19 – 22 ม.

นอกตัวเมืองออกไป เช่น มณฑลงามวงศ์วาน แจ้งวัฒนะ รังสิต นวนคร บางเขน เป็นต้น จะพบชั้นทรายที่ระดับตื้นกว่า คือประมาณ 16-18ม. ทรายที่พบมักจะเป็น Clean sand และด้วยเหตุที่น้ำไหลผ่านทรายได้ดี เพราะฉะนั้นเมื่อขุดเจาะดินถึงชั้นทราย น้ำจะไหลเข้าหลุมเจาะ แม้จะพยายามลงปลอกเหล็กกันดิน(Casing)ลงไปถึงชั้นทรายถึงระดับปลายเข็มที่ต้องการก็ไม่สามารถคุ้มครองน้ำได้ เพราะน้ำจะยังคงไหลเข้าใต้ปลายปลอกเหล็กทุกเมื่อเชื่อวัน อย่างแก้ไขทางเดียวก็คือต้องกดปลอกเหล็กต่อลงไปให้ถึงดินเหนียวที่อยู่ใต้ชั้นทราย แบบนี้ดินเหนียวที่มีค่าการซึมผ่านได้ต่ำ จะช่วยป้องกันน้ำไม่ให้เข้าปลายหลุมเจาะได้ แต่ก็จะเป็นการบังคับให้จำเป็นต้องเปลี่ยนระดับปลายเข็มไปอยู่ในชั้นดินเหนียวด้วย เช่นนี้เพราะสมมุติระดับดินที่ขุดเจาะยังอยู่ในปลอกเหล็กกันดิน ดินส่วนที่เหลือช่วงปลายปลอกเหล็กจะอุดตันกันไม่ให้คอนกรีตหรือเหล็กเสริมไหลลงขณะถอนปลอกเหล็กกันดินขึ้น (เสมือนกับจุกก๊อกที่ปิดปลายขวดกันน้ำไหลออกนั่นเอง) คอนกรีตและเหล็กเสริมจะถูกยกขึ้นพร้อมกับปลอกเหล็กกันดิน ทำเสาเข็มไม่เสร็จบริบูรณ์แถมเครื่องอุปกรณ์ยังอาจเสียหายอีกด้วย