การเรียน ged อาจจะผ่านการทดสอบโดยครูผู้ชำนาญแน่หรือเปล่า

เรียน ged ก่อนจะไปสอบอาจช่วยให้นักเรียนสอบได้ได้ ด้วยเหตุมากมายต่อไปนี้

การเรียน GED ควรคัดเลือกที่ที่ดีเป็นสถาบันแห่งแรกๆในประเทศไทย เพราะเช่นนั้นจะมีแหล่งข้อมูล ตำรา และความรอบรู้ในอนุศาสน์ที่ ลึกกว่าที่อื่นๆ การสอบ GED ในเมืองไทยสมัยนี้เป็นการใช้เนื้อหาสาระแบบปี 2002 (แต่ในสหรัฐอเมริกาใช้ปี 2014) เพราะเช่นนั้นหนังสือที่ใช้ประกอบการสอนของปี 2002 จะหายากลำบาก แต่มี่ที่เปิดสอน GED มาตั้งแต่ปี 2000 อย่างนั้นจึงมีตำราให้คัดเลือกยิ่งกว่า

มีการสอนเรียน ged  ความเจริญสอนแบบ 5 สัปดาห์ที่สถาบันส่วนใหญ่ใช้สอน มุ่งหวังปรับปรุงระบบการสอบแบบเหมือนจริงๆให้นักศึกษาได้ทดลองสอบ มีระบบการศึกษาเล่าเรียนเสริมแบบ SELF ที่ให้เด็กนักเรียนมาศึกษาเล่าเรียนพิจารณาได้  ถ้าหากศึกษาแล้วสอบไม่ผ่าน ยังอนุญาตให้นักเรียนศึกษาเล่าเรียนซ้ำได้ถ้าหากนักศึกษามาศึกษาเล่าเรียนในวิชานั้นไม่น้อยกว่า 80% และมีผู้เรียนขึ้นทะเบียน + ยังมีที่ว่างในหลักสูตรต่อไป ถ้าไม่ว่างแน่ๆ จะไตร่ตรองดูหลักสูตรของสาขาอื่นๆ  อย่างนั้นจึงได้โอกาสได้ศึกษาอยู่เรื่อยๆ มี Counselor ที่จะคอยส่งเสริมด้านการเล่าเรียน การลงสมัครสอบ การตามผล ตลอดจนสนับสนุนให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เช่นนี้ไม่มีรายการจ่ายเพิ่มเติมเว้นแต่ว่าภาษีในการสอบและติดตามผลที่จำต้องชำระแก่องค์การที่มีส่วนแค่นั้น

แล้วเข้าใจหรือไม่ ? การสอบ GED พร้อมกับเรียน ged นั้นแตกต่างไม่มากการสอบ GED เป็นแบบ Multiple Choice เป็นโดยมาก เว้นแต่ว่าวิชา Writing ที่มีการจด Essay ด้วย ถ้าจะสอบ GED ให้สอบได้จะต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่า 410 ในแต่ละวิชา คะแนนเต็มในแต่ละวิชาเป็น 800 พร้อมกับแต้มรวม 5 วิชาไม่น้อยกว่า 2,250 แต้ม จากสถิติ วิชาที่ผู้เรียนไทยค่อนข้างทำแต้มได้มักจะดีคือ เลขคณิต และ วิทย์ ส่วนวิชาที่ยากยิ่งคือ การอ่าน ที่ปราบ การจด ไป

เมื่อสอบได้จะได้เอกสาร 2 อย่างคือ Transcript พร้อมทั้ง Diploma ซึ่งจำเป็นต้องนำสิ่งพิมพ์ทั้งคู่นี้ไปใช้สมัครสอบเข้าสถาบันอุดมศึกษาโดยมิจำต้องนำไปเทียบวุฒิ เพียงเท่านี้เองการสอบ ged

ความสำคัญของเสาเข็มเจาะกับงานก่อสร้าง

เสาเข็มเจาะขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 60 ซม. ปลายเข็มอยู่ที่ระดับ 9 เมตร (ต่ำจากผิวดิน) เพราะว่าสภาพดินตลอดความลึกที่เจาะเป็นดินแข็งมากสีน้ำตาล กดปลอกเหล็กกันดินได้ยาก ลงปลอกเหล็กกันดินได้เพียง 2 เมตร (เพราะกดไม่ลง) เมื่อทำการขุดเจาะดินไปได้ความลึกประมาณ 8-9 เมตร มีน้ำไหลเข้าในหลุมเจาะ และไหลแรงมากเพียงเวลาไม่นานน้ำไหลขึ้นมาถึงระดับที่ต่ำกว่าผิวดินเพียง 1.50 – 2.00 เมตร ตอนแรกสันนิษฐานว่าชั้นความลึก 8 – 9 เมตรนั้นอาจเป็นดินทราย ซึ่งถ้าเป็นดังนั้นดินที่ระดับนั้นต้องเกิดการพังทลายไม่เปลี่ยนแปลงแต่เมื่อนำกระเช้าเก็บดิน(Bucket)มาขุดเจาะดินต่อไปกับไม่พบดินทรายเลย ครั้นเมื่อพินิจจากผลการเจาะสำรวจดินในวันข้างหลังจึงพบว่าดินที่ระดับดังกล่าวข้างต้นเป็นดินที่มีความแข็งมากเกือบเป็นหินและมีร่องแตกมาก นั่นเป็นคำตอบว่าน้ำน่าจะไหลมาจากร่องที่แตกนี่เอง ปัญหาต่อเนื่องก็คือเมื่อปลายเสาเข็มเป็นดินที่มีน้ำไหลแม้จะลงปลอกเหล็ก (casing) ลงไปจนถึงดินชั้นนั้นก็ไม่สามารถกันน้ำได้เพราะน้ำจะยังคงไหลดันเข้าที่ปลายปลอกเหล็กตลอดเวลา เหตุดังนี้จึงต้องขุดเจาะดินใต้น้ำในสภาพเช่นเดียวกับการทำเสาเข็มเจาะขนาดใหญ่ และเมื่อขุดเจาะดินได้ระดับที่ต้องการแล้วก็ต้องเทคอนกรีตผ่าน Tremie pipe เช่นเดียวกัน เสาเข็มที่ทำด้วยกระบวนการขนาดนี้ก็ควรจะเรียกว่าเป็นเสาเข็มเจาะระบบเปียกด้วย

เสาเข็มเจาะอีกประเภทหนึ่งคือเสาเข็มเจาะระบบแห้ง เสาเข็มประเภทนี้มีขนาดเล็กกว่าและความลึกไม่มาก เส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่สุด 60 ซม. ความลึกไม่เกิน 29 ม. โดยทั่วไปที่พบเห็นจะกำหนดปลายเสาเข็มที่ระดับ 21 ม.หรือถึงชั้นทราย ซึ่งชั้นทรายที่ว่านี้ในกรุงเทพมหานครช่วงกลางๆเมืองเช่น สีลม รองเมือง เพลินจิต อุรุพงษ์ บางกะปิ พระโขนง ฯลฯ เป็นชั้นทรายปนดินเหนียวหรือทรายปนดินตะกอนสีเหลือง ( Clayey sand or silty sand) มีสภาพอ่อนเละๆ ใช้มือบีบให้เสียรูปได้ง่าย เป็นดินชุ่มน้ำสังเกตุได้จากความชุ่มแฉะของดิน และนั่นแสดงว่าดินชั้นนี้เป็นชั้นดินที่มีน้ำ หากขุดเจาะถึงดินชั้นนี้แล้วทิ้งไว้สักพักหนึ่งจะพบว่าเขตก้นหลุมเจาะมีน้ำ ชั้นทรายชั้นนี้จัดเป็นทรายชั้นแรกที่พบเจอ(First sand Layer) ลำดับชั้นความลึกอยู่ที่ประมาณ 19 – 22 ม.

นอกตัวเมืองออกไป เช่น มณฑลงามวงศ์วาน แจ้งวัฒนะ รังสิต นวนคร บางเขน เป็นต้น จะพบชั้นทรายที่ระดับตื้นกว่า คือประมาณ 16-18ม. ทรายที่พบมักจะเป็น Clean sand และด้วยเหตุที่น้ำไหลผ่านทรายได้ดี เพราะฉะนั้นเมื่อขุดเจาะดินถึงชั้นทราย น้ำจะไหลเข้าหลุมเจาะ แม้จะพยายามลงปลอกเหล็กกันดิน(Casing)ลงไปถึงชั้นทรายถึงระดับปลายเข็มที่ต้องการก็ไม่สามารถคุ้มครองน้ำได้ เพราะน้ำจะยังคงไหลเข้าใต้ปลายปลอกเหล็กทุกเมื่อเชื่อวัน อย่างแก้ไขทางเดียวก็คือต้องกดปลอกเหล็กต่อลงไปให้ถึงดินเหนียวที่อยู่ใต้ชั้นทราย แบบนี้ดินเหนียวที่มีค่าการซึมผ่านได้ต่ำ จะช่วยป้องกันน้ำไม่ให้เข้าปลายหลุมเจาะได้ แต่ก็จะเป็นการบังคับให้จำเป็นต้องเปลี่ยนระดับปลายเข็มไปอยู่ในชั้นดินเหนียวด้วย เช่นนี้เพราะสมมุติระดับดินที่ขุดเจาะยังอยู่ในปลอกเหล็กกันดิน ดินส่วนที่เหลือช่วงปลายปลอกเหล็กจะอุดตันกันไม่ให้คอนกรีตหรือเหล็กเสริมไหลลงขณะถอนปลอกเหล็กกันดินขึ้น (เสมือนกับจุกก๊อกที่ปิดปลายขวดกันน้ำไหลออกนั่นเอง) คอนกรีตและเหล็กเสริมจะถูกยกขึ้นพร้อมกับปลอกเหล็กกันดิน ทำเสาเข็มไม่เสร็จบริบูรณ์แถมเครื่องอุปกรณ์ยังอาจเสียหายอีกด้วย